วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทำไมอิสลามจึง ไม่ทานหมู?


ทำไมอิสลามจึง ไม่ทานหมู?


คนทั่วไปมักจะสงสัยว่า "ทำไมอิสลามจึงห้ามกินหมู ?" และ มักจะเข้าใจว่า
เฉพาะคนมุสลิม เท่านั้นที่มีบทบัญญัติทางศาสนาห้ามกินหมู ทั้ง ๆ ที่ศาสนาคริสต์
ก็มีบทบัญญัติ ห้ามคนคริสเตียนกินเช่นกันและห้ามมาก่อนสมัยศาสดามุฮัมมัด
เสียด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ไม่ยักมีใครถามว่า
"ทำไม คัมภีร์ไบเบิลจึงห้ามกินหมู่ ?"
เมื่อบทบัญญัติห้ามกินหมูถูกประทานให้แก่มุสลิมในยุคต้น ๆ ผู้คนในยุคนั้น
ไม่รู้เหตุผล หรอกว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงห้ามเพราะผู้ศรัทธาในพระเจ้ายุคนั้นรู้แต่
เพียงว่าเขาเป็น มุสลิม และมุสลิมคือผู้นอบน้อมยอมจำนนต่อคำสั่งของพระเจ้าโดย
สิ้นเชิงดังนั้น เมื่อพระเจ้าทรงบัญชาสิ่งใดพวกเขาก็ปฏิบัติตาม โดย ไม่มีการตั้งคำ
ถามว่า "ทำไม?" เพราะ พวกเขารู้ดีว่าพระเจ้าทรงมีเหตุผลและทรงมีเจตนาดีต่อ
พวกเขา แต่เหตุผลของพระองค์ในเวลานั้นเกินกว่าทีสติปัญญาของพวกเขาแต่ เหตุผล
ของพระองค์ใน เวลานั้นเกินกว่าที่สติปัญญาของพวกเขาจะหยั่งรู้ได้ ดังนั้น การปฏิบัติ
ตามด้วยความ ศรัทธาเพียงอย่างเดียวสำหรับพวกเขาก็ถือว่าเป็นการเพียงพอแล้ว
สำหรับการเป็น มุสลิม
แต่เมื่อโลกวิวัฒนาการขึ้น การปฏิบัติตาม ศาสนาด้วยความศรัทธาทางจิตใจ
เพียงอย่างเดียว ดูเหมือนจะไม่เพียงพอแล้วสำหรับมนุษย์ผู้มีวิวัฒนาการทางสติ
ปัญญา มนุษย์ต้องการจะรู้เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งของพระเจ้าเพื่อ ประกอบกับ
ความศรัทธาของ เขา ดังนั้น เพื่อตอบสนอง ความต้องการทางสติปัญญาของมนุษย์
พระองค์จึงได้ ประทานความรู้ความสามารถทางสติปัญญให้แก่มนุษย์เพื่อใช้ค้นคว้า
หาคำตอบและ เหตุผลด้วยสติปัญญาของเขาเอง
เพื่อ ที่จะปฏิบัติตามคำสอนของอิสลามในเรื่องนี้ มุสลิมจะต้อง ปฏิบัติตามในสิ่งที่
พระผู้เป็นเจ้า อนุมัติและงดเว้นในสิ่งที่พระองค์ห้ามทั้งนี้เพื่อที่จะได้รับความสะอาด
บริสุทธิ์ทั้ง ทางด้านจิตวิญญาณและธรรมชาติแห่งความเป็นมนุษย์
การ ละเว้นจากการกินเนิ้อหมูในอิสลามมีเหตุผลหลายประการทั้งจากทัศนะของ
ศาสนาและทัศนะ ทางวิทยาศาสตร์

การรักษาอนามัย และการแสงหาความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
การละเว้นจากการกินเนื้อหมูเป็นขั้นตอนหนึ่งซึ่งอิสลามกำหนดไว้ เพื่อเป็นการ
รักษาสุขภาพ อนามัย และการได้รับความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ

อิสลามสอนให้ มนุษย์มีชีวิตสะอาดอย่างไร ?
ประการ แรก อิส ลามได้ย้ำเรื่องความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณและความ
สะอาดของร่างกาย และประการที่สองคือการบริหารร่างกายที่เหมาะสม หลักการอิสลาม
หนึ่งในห้า ประการคือการละหมาดห้าเวลาในแต่ละวันนั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงเรื่องนี้ วิทยา
ศาสตร์อาจจะเน้น เรื่องของอนามัย แต่จะไม่ใส่ใจ ต่อความสำคัญของการปลูกฝังธรรม
ชาติอัน บริสุทธิ์ของมนุษย์ หากจะเปรียบไปก็ เหมือนกันการเน้นการศึกษาเรื่องวัตถุนิยม
และจิตนิยม ความจริงแล้ว จิตนิยมและ วัฒนธรรมของธรรมชาติอันบริสุทธิ์นั้นเป็นศาสตร์
และปรัชญาสอง วิชาที่ถูกทอดทิ้งไปในช่วงระยะหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าพูด ว่าทิ้งช่วงไประยะหนึ่ง
ก็เพราะข้าพเจ้า เชื่ออย่างจริงใจว่ามันจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกและจะมีความสำคัญต่อไป
ในอนาคตโดยการ ประดิษฐ์คิดค้นของวิทยาศาสตร์
วิชาอนามัยเป็นเรื่องภายนอกและเป็นเรื่องทางวัตถุ แต่ เรื่องวัฒนธรรมของธรรม
ชาติภายในนั้น เป็นเรื่องน่าสนใจที่เกี่ยวข้องทั่วร่างกายและจิตวิญญาณ

อิสลามยอมรับและ ไม่ทำลายความรู้สึก
เช่นเดียวกับศาสนาอื่น ๆ อิสลามได้ให้ ความสำคัญเป็นอย่างมากต่อลักษณะและ
คุณธรรมอันดีงาม อิสลามถือว่ามนุษย์เกิดมาบริสุทธิ์ เม่งจื๊อ ก็เช่นเดียวกับอิสลามที่ถือว่า
ความดีและความ ชั่วจะได้รับการเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ความแตกต่าง ระหว่างสอง
ความคิดนี้ก็คือ อิสลามสอนให้รู้ถึงวิธีการที่จะได้รับความดีงามและหลีกเลี่ยงนิสัยที่เลว ทราม
เพราะทั้งความดี และความชั่วจะเติบโตในมนุษย์ตามการศึกษาและสภาพแวดล้อมในชีวิต
ประจำวันของเขา
มนุษย์มีความต้องการตามธรรมชาติ เช่น ต้องการอาหารการหลับนอน การสืบพันธุ์
อยู่ในตัวเอง เช่นเดียวกับที่เขามีความรู้สึกตามธรรมชาติอย่างอื่น เช่นความสุข ความโกรธ
ความเศร้า ความรัก ความกลัว ความหิว ความปรารถนาและ อื่น ๆ
ความปรารถนาเกิดขึ้นจากสัญชาติญาณแห่งการเป็นเจ้าของ ความไม่พอใจในการ
เป็นเจ้าของจะ ก่อให้เกิดอาการอิจฉาและในที่สุดก็กลายเป็นความริษยาและความโลภ
อย่างไรก็ตามอิส ลามก็ไม่ได้แนะนำให้ทำลายความรู้สึกเหล่านี้
แต่อิสลามได้ เสนอวิธีการควบคุมมันไว้ให้แก่มนุษย์ เพราะตราบใดที่ มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่
ความรู้สึกเช่น นั้จะเกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ความจริงแล้ว ความรู้สึกของมนุษย์นั้นเปรียบเสมือน
กับเครื่องยนต์ ของยานพาหนะ มันขึ้นอยู่กับ คนขับต่างหากที่จะควบคุมมันและนำมันไปสู่
จุดหมายที่เป็น ประโยชน์

การเลือกอาหาร
การห้ามกินเนื้อหมูในอิสลามเป็นขั้นตอนหนึ่งในการศึกษาทางวัตถุ นิยมและนำไปสู่
การเข้าใจอย่าง ลึกซึ้งถึงความจำเป็นสำหรับการมีธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของมนุษย์โดยอัตโนมัติ
ในฐานะที่เลือด โดยแท้จริงแล้วคือชีวิตของเราและสิ่งใดที่เราบริโภคเข้าไปนั้นจะมีผลต่อระบบ
เลือดของเราใน ที่สุด ดังนั้น มันจึงเป็นสิ่ง จำเป็นที่เราจะต้องรู้จักเลือกอาหารและเครื่องดื่ม เป็น
ที่ค่อนข้างเห็น ได้ชัดเจนว่ายิ่งมนุษย์มีอารยธรรมมากเท่าใด มนุษย์ก็จะยิ่ง รู้จักเลือกอาหาร
มากยิ่งขึ้นเท่า นั้น นอกจากนั้นแล้ว เรายังรู้อีกว่า คนไร้อารยธรรมแห่งแอฟริกาในในอดีตนั้น
เป็นชนเผ่าที่ กินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหาร ชนพื้นเมืองใน มลายูและชาวเขาบางพวกใน
บอร์เนียวไม่ รู้จักการเลือกอาหารการกิน คนพวกนี้จะกินงู หนอน หนูและอะไรก็ตามที่พวกเขา
จับได้ พวกจัณฑาลในอินเดียก็ไม่รู้จักเลือกอาหาร แต่พอมีวัฒนธรรมสูงขึ้นก็จึงเริ่มรู้จักเลือก
กินอาหารและลดปม ด้อยลงไป นี่คือข้อพิสูจน์ที่สนับสนุนคำพูดของข้าพเจ้า
การพัฒนาไปสู่สภาพอันบริสุทธิ์ในความเป็นมนุษย์นั้นมิได้อยู่ที่ การละเว้นจากการกิน
เนื้อหมู การกินเนื้อสัตว์ที่ตายเองโดยธรรมชาติหรือตายเนื่องจากการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นวัว ควาย
แพะ แกะหรือสัตว์ปีกก็เป็นที่ต้องห้ามในอิสลามเช่นกัน เราไม่รู้ว่านักวิทยาศาสตร์จะทำการ
ศึกษาเรื่อง เนื้อหรือเลือดของสัตว์ที่ตายเพราะการต่อสู้หรือเปล่า แต่เรามุสลิมถูกสอนมิให้กิน
เนื้อของสัตว์แห ล่านั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นและจากหลักการอิสลามแล้วมุสลิมจะไม่กิน เนื้อของสัตว์ที่
ล่าสัตว์ด้วยกัน เป็นอาหารอีก เช่น สิงโต เสือ งู แมว สุนัข หนู เป็นต้น ข้อห้ามเช่นนี้มีเหตุผล
เพื่อความสะอาด บริสุทธิ์ของธรรมชาติแห่งความเป็นมนุษย์ เพราะว่าเมื่อ บริโภคอาหารใด ๆ
เข้าไป อาหารไม่เพียงแต่จะเข้าไปในลำไส้และกลายเป็นของเสียที่ร่างกายขับ ถ่ายออกมาเท่านั้น
แต่มันจะถูกดูด ซึมเข้าไปในระบบเลือดและหมุนเวียน เข้าไปยังทุก ส่วนของร่างกายรวมทั้ง
สมองด้วย และนี่เองที่ทำให้มันมีผลต่อธรรมชาติของมนุษย์
อิสลามอนุญาตให้มุสลิมกินเนื้อที่สะอาด อิสลามมิได้ห้ามและก็มิได้สนับสนุนใครให้
เป็นมังสวิรัต (ผู้ ทีไม่กินเนื้อสัตว์) แต่อย่างไรก็ตาม ในการกินเนื้อสัตว์นั้น มุสลิมจะต้อง รู้จัก
เลือก บาง คนอาจโต้แย้งว่า "หมูสมัยใหม่" ได้รับอาหารที สะอาดดังนั้นเนื้อของมันก็น่าที่จะ
บริโภคได้คำตอบ สำหรับคำโต้แย้งนี้ก็คือคุณอาจจะให้อาหารที่สะอาดแก่หมู แต่คุณก็ไม่
สามารถที่ เปลี่ยนธรรมชาติของหมูได้ จะอย่างไรก็แล้ว แต่ หมู่ก็ยังเป็นหมูอยู่วันยังค่ำ หมูมิใช่
พืช คุณมิอาจจะเปลี่ยนธรรมชาติของมันโดยการทาบกิ่งหรือต่อตา

ธรรมชาติของหมู
โดยธรรมชาติแล้ว หมูมีนิสัยขี้ เกียจและหมกมุ่นอยู่กับเรื่องสืบพันธุ์ มันไม่ชอบ
แสงอาทิตย์และ เป็นสัตว์ขี้กลัว ยิ่งมีอายุมาก มันจะยิ่งขี้เกียจมาก หมูจะกินแทบทุก สิ่ง
ที่อยู่ข้างหน้า มันไม่ว่าสิ่งนั้นจะสกปรกโสโครกเพียงใด มันจะชอบที่ สกปรกมากกว่าที่
สะอาด ชอบที่จะกินและนอนโดยไม่ชอบเดินไปไหนมาไหนมีนิสัยตะกละ ในบรรดาสัตว์
ทั้งหมด หมูจะเป็นแหล่งของตัวพยาธิที่เป็นพิษแหล่งใหญ่ที่สุด ดังนั้นเนื้อหมูจึงเป็นพาหะ
ของโรคหลายอย่าง มายังมนุษย์ ด้วยเหตุผลนี้ เอง เนื้อหมูจึงไม่เหมาะสมที่จะนำมาบริโภค
ความเห็นของนายแพทย์จีนและนายแพทย์ชาติอื่นทั้งในอดีตและปัจจุบัน เกี่ยว
กับเนื้อหม เมื่อพูดถึงเรื่องนิสัยการกินที่สะอาด ข้าพเจ้าขออนุญาตแนะนำความเห็นและ
บทสรุปทางการ แพทย์และบทสรุปของคนจีนและนักเขียนทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ให้ผู้อ่าน
ได้รู้เพื่อเป็น ข้อมูลประกอบถึงเรื่องการห้ามมุสลิมกินหมู
นิตยสารอายุวัฒนะของจีนที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่งชื่อ "หยัน โฉวตัน" กล่าวว่า :
"เมื่อ ใกล้ตายความกลัวจะเข้าไปยังหัวใจของหมูและลมหายใจสุดท้ายของสัตว์จะเข้า
ไปยังน้ำดี เนื้อสัตว์ทุกชนิดเป็นอาหารบำรุงกำลังยกเว้นเนื้อหมู จงอย่ากินมัน"
จะเห็นว่ามีการอ้างถึงความกลัวและลมหายใสุดท้ายของสัตว์ที่เข้าไป ยังหัวใจ
และน้ำดีของมัน ซึ่งเรื่องนี้อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับได้สำหรับนักวิทยาศาสตร์ แต่มันจะ
ต้องมีเหตุผล อะไรสักอย่างสำหรับการสรุปแบบห้วน ๆ นี้
ใน สมัยราชวงศ์ถัง มีหมอคนหนึ่ง ชื่อ ซุนซีเหมา เคยถูกเสนอให้ เป็นนายกรัฐมนตรี
ซึ่งเป็นตำแหน่ง ที่ใคร อยากจะเป็นกัน แต่ท่านกลับปฏิเสธ หมอผู้นี้มีอายุ ยืนถึง 100 ปี และ
เป็นนักอนามัย ผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยเมื่อสองพันปีที่ผ่านมา ท่านได้เขียนไว้ ในหนังสือเรื่อง
"เฉ เฉนลู" (บันทึก แห่งสุขภาพ) ว่า :-
"เนื้อ หมูอาจทำให้การป่วยไข้เก่า ๆ กลับคืนมาอีก มันนำไปสู่การเป็นหมัน โรคไขข้อ
กระดูกอักเสบ และโรคหืด"
หมอผู้นี้ได้ชี้ให้เห็นโรคอย่างน้อยทีสุดสามโรคและยังกล่าวถึงแนว โน้วของเนื้อหม
ูที่จะเป็น สาเหตุทำให้โรคเก่ากลับมาอีก การค้นพบของท่าน ได้รับการยืนยันโดยนักวิทยา
ศาสตร์ใน ปัจจุบันแล้ว
หมอมีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่งแห่งราชวงศ์หมิง ชื่อ หลีชีเฉน (ซึ่งเป็นซินแสด้านยา
และเขียนตำราไว้ กว่า 50 เล่ม) ได้ ใช้เวลาตลอดชีวิตของท่านศึกษาเกี่ยวกับเรื่องยา
ได้กล่าวเกี่ยว กับเนื้อหมูไว้ว่า :-
"หมู ทางตอนใต้มีกลิ่นฉุนและมีน้ำมันเข้มข้น มันมีพิษภัยที่ ก่อให้เกิดโรคมากมาย"
ถ้า หากไม่มีความเชื่อมั่นหลังจากการศึกษาอย่างหนักเกี่ยวกับพืชสมุนไพรและสิ่ง ที่กิน
ได้นับพันชนิด หมอผู้ยิ่งใหญ่อย่างหลีชีเฉนก็คงไม่กล้าพูดว่าเนื้อหมูโดยทั่วไป เป็นอันตราย
ต่อสุขภาพ ความเห็นและข้อสรุปทางการแพทย์เหล่านี้ถูกอ้างมาจากหนังสือเรื่อง
"พิธีกรรม ในอิสลาม" (The Rites in Islam) ซึ่งเขียนโดย เชค หวางไต้ยู่
นักการแพทย์สมัย ใหม่ชื่อ ฉือฮุนหยู ได้เขียนไว้ใน หนังสือเรื่อง "ปัญหาของการกินเนื้อสัตว์
เป็นอาหาร" (The Problem of Carnivorousness) ของเขาว่าการกิน เนื้อหมูเป็น
สาเหตุทำให้เกิด ความจำเสื่อมและผมร่วง วิทยาศาสตร์สมัย ใหม่ก็ได้พบว่า เนื้อหมูเป็น
สาเหตุประการ หนึ่งที่ทำให้ศีรษะล้านและความจำเสื่อม ซึ่งโรคทั้งสอง นี้เป็นที่หวั่นกลัวของ
คนหนุ่มและคนแก่ คำพูดเช่นนี้สนับสนุนคำพูดเกี่ยวกับเรื่องหมูของคนในยุคโบราณโดย
ทางอ้อม
โดยปกติเรามักจะเห็นคนขายหมูมีรูปร่างอ้วนฉุ แต่นั่นไม่จำเป็นต้องหมายถึงการ
มีสุขภาพดีเสมอ ไป บางทีมันอาจจะเป็นของการติดต่อสัมผัสกับเนื้อหมูอย่างต่อเนื่อง และ
เป็นโรคที่เนื้อ หมูนำมาก็ได้ ดร.เกลน เชฟฟาร์ด (Fr.Glen Shephard) ได้เขียนเกี่ยว
กับเรื่อง อันตรายของการกินเนื้อหมูไว้ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ฉบับวันที่ 31
พฤษภาคม 1952 ไว้ ว่า
"ประชาชนในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา 1 ใน 6 คน มีเชื้อจุลินทรีย์ในกล้าม
เนื้อ-ทริโคโนซี ส-จากการกินเนื้อหมูที่มีเชื้อพยาธิทริคินาหลายคนติดเชื้อโรค
แต่ไม่มีอาการ คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อนี้จะฟื้นจากอาการป่วยช้ามาก บางคนเสียชีวิต
บางคนกลายเป็นคน ทุพพลภาพซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นคนกินเนื้อหมูอย่างไม่ระมัดระวัง"
"ไม่ มีใครที่ปลอดพ้นจากเชื้อโรคนี้และก็ไม่มีวิธีการรักษา ไม่มียาปฏิชีวนะหรือยา
และวัคซีนใด ๆ ที่สามารถจะมีผลต่อพยาธิมรณะตัวจิ๋วนี้ได้ ดังนั้น การป้องกันการ
ติดเชื้อจึงเป็น คำตอบที่แท้จริง"
"พยาธิ ทริคินามีความยาวเมื่อเติบโตเต็มที่ประมาณ 1/8 นิ้ว และ กว้างประมาณ
1/400 นิ้ว มี อายุยืนถึง 40 ปี มี สารห่อหุ้มตัวเป็นลักษณะแคปซูลกลมคล้ายลูกมะนาว
อยู่ระหว่างเส้น ใยกล้ามเนื้อ"
"เมื่อ คุณกินเนื้อที่ติดเชื้อโรคเข้าไปสารที่ห่อหุ้มพยาธินี้จะถูกย่อยแต่ตัวพยาธิ ที่อยู่ภาย
ในจะเติบโตเต็ม ที่และแต่ละตัวจะออกลูกประมาณ 1500 ตัว พยาธิเหล่านี้จะเข้าไปใน
เลือดของคุณใน เวลาหนึ่งหรือสองสัปดาห์หลังจากที่คุณกินพ่อแม่ของมันเข้าไป เนื่องจาก
พยาธิสามารถ รุกรานเข้าไปได้ในหลายส่วนของอวัยวะ ดังนั้น อาการของโรคนี้จะเหมือน
กับโรคอื่น ๆ อีก 50 โรคซึ่งทำให้ เป็นเรื่องยากในการวินิจฉัย"
"วิธีการหมักเค็มและการรมควันธรรมดาไม่อาจที่จะฆ่าพยาธิเหล่านี้ และการ
ตรวจเนื้อของ รัฐบาลที่สถานที่บรรจุหีบห่อหรือที่โรงฆ่าสัตว์ก็ไม่สามารถรู้ถึงเนื้อหมู ที่
ติดโรคนี้ได้"
หลังจากที่อ่านถ้อยคำของ ดร.เชฟฟาร์ด แล้ว เราสามารถสันนิษฐานได้ว่า
ไม่มีหลักประกัน ความปลอดภัยที่แท้จริงแม้แต่เมื่อตอนเรากินเนือ้หมูจึงเป็นการเอา
สุขภาพและชีวิต ของเราเข้าไปเสี่ยงเหมือนกับการพนัน

โรคที่มีสาเหตุ มาจากหมูและการกินเนื้อหมู
เราขอทำความเข้าใจให้กับท่านเป็นที่กระจ่างก่อนว่าเนื้อของสัตว์ ทุกชนิดหรือแม้
กระทั่งผักนั้น จะมีจุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อโรคอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แต่เนื้อหมูจะมีเชื้อจุลินทรีย์และ
พยาธิที่มีเชื้อ โรคอยู่มากที่สุด ในบรรดาเนื้อ สัตว์ที่มนุษย์รู้จัก ยิ่งเราศึกษา เนื้อหมูมากขึ้น
เราก็ยิ่งมีความ กลัวมากขึ้น
ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของจุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อโรคและพยาธิที่พบใน เนื้อหมูและโรคต่างๆ
ที่มีสาเหตุมา จากมัน โรคต่าง ๆ เหล่านี้เป็นโรค ที่ติดต่อและระบาดได้ง่ายในขณะทีบางโรค
มีความรุนแรงอาจ ถึงตายได้
นี่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่ายิ่งวิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้ามาก เท่าใดก็ยิ่งเป็นการ
พิสูจน์เห็นถึง ความถูกต้องของอิสลามมากขึ้นเท่านั้น

ชื่อพยาธิ
1. Fasciolopsis Buski (พยาธิใบไม้ลำ ไส้)
Zlankester 1857 : Ocliver-1902)
พยาธิเหล่านี้จะ แผงตัวอยู่ในลำไส้เล็กของ
หมู เป็นเวลานาน พยาธิเหล่านี้ เมื่อออกจาก
ตัวหมู ก็ จะไปติดตัวทาก ซึ่งจะมาติดต่อ กับ
คนอีกทีหนึ่ง ส่วน ใหญ่แล้วจะมีอยู่ในเมืองจีน


2. พยาธิ ตัวกลมพยาธิชนิดนี้มีความยาว 9-10
นิ้ว และได้ชื่อว่า "พยาธิท่อง เที่ยว"เพราะมัน
สามารถเคลื่อน ที่ไปได้

ชื่อของโรคที่มี สาเหตุจากพยาธิ
1. 28% ของคนไข้ที่เข้า รับการรักษาใน
โรงพยาบาลเฉาฮิง (จังหวัด เฉเกียงของจีน)
และ5.5% ของ คนไข้อื่น ๆ ที่ไปรับ การรักษาภายนอก โรงพยาบาลได้รับการ ติดเชื้อโรคคน ไข้จะมีอาการผิดปกติในเรื่อง
การ ย่อยอาหารและจะเป็นโรคท้องร่วง
ต่อเนื่อง ร่าง กายจะบวมเนื่องจากเนื้อเยื่อ
ใต้ผิวหนังพอง น้ำ

2. โรค ปอดอักเสบ โรคหายใจขัด โรคดีซ่าน

ข้อมูลเกี่ยวกับพยาธิและเชื้อโรคที่พบในเนื้อหมูหรือหนังหมูและ เป็นสาเหตุของ
โรคต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้นคัดมาจากบทความที่เขียนโดย ดร.มุฮัมมัด ญะฟัรในหนังสืออิสลา
มิครีวิว ตีพิมพ์ในลอนดอน ค.ศ. 1957 ข้อมูลอีกส่วน หนึ่งข้าพเจ้าได้รับมาจากตันศรีโจฮารี
ดาวุด ผู้อำนวยการหน่วยบริการทหารผ่านศึกของมาเลเซีย ข้อมูล บางส่วนถูกนำมาจาก
วารสาร "ESSentia Review on Agriculture-Veterinary" ฉบับ ที่ 12 เล่ม 2 (1959)
ของใต้หวัน
ใน ค.ศ. 1936 เมื่อผู้เขียน ได้ไปเยี่ยมคณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยไคโร คณบดี
ของคณะได้ชี้ให้ ผู้เขียนดูพยาธิตัวแบนขนาดยาว 10 ฟุตในโถแก้วใหญ่ ใบหนึ่งและกล่าวว่า
"นี่ มาจากเมืองจีน" ผู้เขียนรู้สึก ไม่สบายใจต่อข้ออ้างดังกล่าวและได้พูดทักท้วงด้วยเสียง
ขุ่น ๆ ว่า "ทำไม จะต้องเอ่ยถึงเมืองจีนเป็นการเฉพาะด้วย ?""จีนเป็นประเทศ ที่กินเนื้อหมู
ที่ใหญ่ที่สุดใน โลก นอกจากนี้ยังมีโรคอื่น ๆ ที่มาจากหมู่มาก เป็นอันดับหนึ่งด้วย เช่น Tricana
Spiralis และพยาธิลำไส้ ดังนั้น ประเทศส่วนใหญ่ จึงซื้อตัวอย่างเหล่านี้มาจากเมืองจีน เพราะว่า
มันมีอยู่ที่ นั่นแล้ว"เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ผู้เขียนจึงต้อง หยุดทักท้วงและยอมรับข้ออ้างอิงนั้นด้วย
ความเงียบ
ข้าพเจ้าเชื่อว่าคนจีนได้นำหมูป่ามาเลี้ยงประมาณ 10,000 ปีแล้วแล้วหมูก็ดูเหมือน
ว่าจะติดต่อกับ มนุษย์มาเป็นเวลานานแล้วด้วย คำว่า "บ้าน" หรือ "ครอบครัว" ที่เขียนใน
ภาษาจีนนั้นเป็น หลังคาอยู่ข้างบนและมีหมูอยู่ข้างใต้ วิถีการดำรง ชีวิตเช่นเดียวกันนี้
ก็มีอยู่ในบ้าน ตัวเรือนยาวในซาราวัค

คนนับถือศาสนา อื่นที่ไม่กินหมู
นอกเหนือจากอิส ลามแล้ว ยัง มีศาสนาอื่นที่ห้ามกินเนื้อหมูด้วย เช่น

1. ศาสนา ยูดาย
ชาวยิวเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในคัมภีร์ไบเบิลเก่าซึ่งมีคำ สอนกล่าวไว้อย่างชัดเจน
ในบทเวลวิติโก 11.7-8 ว่า "หมู เพราะ มันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่า แต่ไม่เคี้ยว เอื้อง
จึงเป็นสัตว์ มลทินแก่เจ้าอย่ารับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้เลย และเจ้าอย่าแตะต้องซาก
ของมันมันเป็น ของมลทินแก่เจ้า" ชาวยิวหลายคนยัง ปฏิบัติตามในเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด

2. ศาสนา ฮินดู
ผู้ นับถือศาสนาฮินดูถูกห้ามกินเนื้อหมูด้วยเช่นกัน ข้าพเจ้ารูเรื่องนี้เมื่อตอนเดินทางไป
อินเดีย คนฮินดูที่ข้าพเจ้าพบไม่สามารถบอกได้ว่าตรงไหนของคัมภีร์ที่ห้าม กินหมู คน ใน
วรรณะจัณฑาลของ อินเดียจะไม่เลือกกินอาหาร แต่คนในวรรณะ อื่นถือว่าการกินเนื้อหมูเป็น
เรื่องน่าอาย ความจริงแล้ว คนฮินดูทุกคนจะ เป็นนักมังสวิรัติโดยเฉพาะวรรณะพราหมณ์
อย่าง ไรก็ตาม นายมุฮัมมัด ดูรายได้พบ บันทึกต่อไปนี้ในคัมภีร์ษุกัลเปียมของชาวฮินดู
บทที่ 163 ที่ กล่าวว่า "วันหนึ่งเมื่อมาณิกาวัสสะกามกราบไหว้พระศิวะแล้ว เขาก็ได้เอาเนื้อ
หมูป่าที่เพิ่ง ล่ามาใหม่ ๆ มาถวายพระศิวะ ทันใดนั้น เขาก็เห็นเลือด ซึมออกมาจากดวงตา
ของรูปปั้นพระ ศิวะ หลังจากนั้น เขาก็ได้ยิน เสียงกล่าวว่า "เจ้าผู้ที่กินเนื้อได้ทำบาป" นี่คือ
ทั้งหมดที่ ข้าพเจ้าอ้างเกี่ยวกับเรื่องการกินเนื้อหมูชองชาวฮินดู
เกี่ยวกับเรื่องการห้ามกินเนื้อวัวนั้น เพื่อนผู้ทรงคุณวุฒิหลายคนได้กล่าวว่าไม่มีคัมภีร์
ฮินดูเล่มใดที่ อ้างอิงถึงเรื่องนี้ มันเป็นเพียงขนบ ธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาโดยผู้คนตั้งแต่ยุคก่อน

3. ศาสนา โซโรแอสเตอร์
ศาสนาโซโรแอ สเตอร์เป็นศาสนาประจำชาติของชาวเปอร์เซียซึ่งถูกก่อตั้งโดยโซโรแอสเตอร์
์เมื่อประมาณ 550 ปี ก่อนคริสตกาล ศาสนานี้วางพื้น ฐานอยู่บนปรัชญาและความเชื่อใน
อำนาจแห่งความดี และความชั่ว ศาสนานี้บางทีก็ ถูกเรียกว่าศาสนาบูชาไฟ มีชาวเปอร์เซีย
ประมาณ 150,000 คน ในอินเดียโดย เฉพาะในบอมเบย์ ร้านอาหารของคน พวกนี้ในบอมเบย์
จะไม่มีอาหารที ทำด้วยเนื้อหมูและเนื้อวัว

4. ศาสคริสต์ นิกายเซเวนเดย์แอดเวนติสต์
นิกายเซเวนเดย์ แอดเวนติสต์ของคริสต์ศาสนาถูกก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ.
1853 โดย วิลเลียม มิลเลอร์ ผู้พยากรณ์ว่า การสิ้นสุดของโลกจะเกิดขึ้นประมาณ ค.ศ. 1843-
1845 ผู้ นัถือนิกายนี้ปฎิบัติตามคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลบทเลวิติโกเกี่ยวกับเรื่องการ ห้ามกิน
เนื้อหมูและมัก จะมากินอาหารที่ร้านมุสลิมเพื่อความสบายใจเมื่อต้องกินอาหารนอกบ้าน นอก
จากนั้นแล้ว นิกายนี้ยังห้ามดื่มชาและกาแฟด้วย

คนที่ไม่ควรกิน หมู
1. ศาสนา พุทธ
พุทธ ศาสนิกชนมีศีลที่จะต้องปฏิบัติ 5 ข้อด้วยกัน คือ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามผิดประเวณี ห้าม
ลักขโมย ห้ามพูดปด และห้ามดื่มสิ่ง มีนเมา ชาวพุทธที่มีความเคร่งครัดในศาสนา
จะปฏิบัติศีลอีก50 หรือ 500 ข้อ แล้วแต่ระดับของความศรัทธา
ขอ ให้เรามาพิจารณาถึงศีลข้อแรกซึ่งไม่เหมือนกับอิสลามและศาสนาคริสต์ กล่าวคือ ศาสนา
พุทธจะห้ามฆ่า สัตว์ทุกชนิดซึ่งรวมทั้งหนู งู แมลงวัน ยุง และอื่น ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจะทำให้
พุทธศาสนิกชน ต้องถือมังสวิรัติ ชาวพุทธในนิกาย มหายานจะไม่กินเนื้อไก่ เป็ด
ปลาเนื้อวัว หรือเนื้อแพะกล่าวสั้น ๆ ก็คือเนื้อสัตว์ ทุกชนิดรวมทั้งไข่ บางครั้งแม้แต่ หัวหอม
และกระเทียมก็ ถูกห้ามด้วย เมื่อเป็นเช่น นี้ ชาวพุทธก็ไม่น่าที่จะกินเนื้อหมูด้วย
อย่างไรก็ตามเรา จะเห็นว่าผู้ที่นับถือศาสนาพุทธส่วนใหญ่มักจะไม่ปฏิบัติตามศีลขัอนี้
อันเนื่องมาจาก สภาพแวดล้อมของท้องถิ่นที่อยู่อาศัยเช่น ธิเบต และมองโกเลียซึ่งผัก
เป็นสิ่งที่หา ยากมาก

2. ศาสนา คริสต์
.. ผู้ ที่นับถือศาสนาคริสต์ทุกคนไม่ควรจะกินเนื้อหมูเพราะชาวคริสเตียนเป็นผู้ที่ เชื่อในพระคัมภีร์
ไบเบิลเก่าและ ใหม่อย่างไม่มีเงื่อนไขและในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่า บทเลวิติโกก็ห้ามการ
กินเนื้อหมู อย่างชัดเจน
ชาว คริสเตียนบางคนอ้างว่าปัจจุบันพวกเขาเป็นชาวคริสเตียน มิใช่ยิวอีกต่อไปแล้ว แต่เราขอถาม
ว่าทำไมพวกเขาถึงปฏิบัติบัญญัติ สิบประการอย่างเคร่งครัด และทำไมคัมภีร์ ไบเบิลเก่า
และใหม่จึง ถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งซึ่งเรียกกันว่าคัมภีร์ไบเบิ้ลนอกจากนั้นแล้วคำ อบรมสั่งสอน
ขั้นพื้นฐานของ นักบวชชาวคริสต์ก็วางพื้นฐานอยู่บนคัมภีร์ไบเบิลเก่าด้วย

คนจีนส่วนใหญ่ก็ ไม่ควรกินหมู
ถ้าหากข้าพเจ้ากล้าที่จะกล่าวคำพูดข้างต้น ข้าพเจ้าก็จะต้องหาข้อพิสูจน์ในสิ่งที่
ข้าพเจ้าได้พูด ไป ที่ข้าพเจ้าพูดว่าคนจีนส่วนใหญ่นั้น ข้าพเจ้าหมายถึงผู้ที่ยึดถือคำสอนของ
ขงจื๊อ คำ สอนของขงจื๊อมาจากคัมภีร์ลี่ฉี (คัมภีร์แห่ง พิธีกรรม) ในบทเฉายีของคัมภีร์เล่มนี้
กล่าวว่า "ฉึนซูปูเฉหุนยู่" ซึ่งหมายความว่า "ผู้ดีไม่กินเนื้อหมูและเนื้อหมา" (ตามคำแปล
ของสาธุคุณ อาร์. อาร์. แมธธิวในพจนานุกรมจีน-อังกฤษของเขา) เพื่อที่จะให้แน่ใจในความ
หมายที่ถูกต้อง ของคำทั้งหกคำดังกล่าวมาข้าพเจ้าได้ถามผ่านไปยังสมาชิกสำนักพิมพ์ฉบับนั้น
นายลองเฟลโลดับ บลิว.ซี.หลิว. ก็ได้ถามนัก ศึกษาอาวุโสและเป็นนักวิชาการชาวจีนที่มีชื่อ
เสียงคนหนึ่ง ชื่อนายควนเฉินหมินซึ่งยอมรับว่าคำทั้งหกดังกล่าวมานั้นหมายความว่า "ไม่ มี
คนดีคนไหนกิน เนื้อหมูหรือเนื้อหมา" ดังนั้น คนจีนที่ยอมรับนับถือลัทธิขงจื๊อเป็นศาสนาหรือ
เป็นคำสอนและ นับถือว่าคัมภีร์แห่งพิธีกรรมเป็นคัมภีร์ที่มีค่า อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ควรกินเนื้อหมู
และเนื้อหมา
คัมภีร์แห่งพิธีกรรมเป็นคัมภีร์ที่มีอายุกว่า 3,000 ปีและถูกค้นพบโดยคนในยุคสมัย
ก่อนเมื่อเนื้อ หมูและเนื้อหมาเป็นที่ต้องห้าม อิสลามเป็นศาสนา ที่ถูกประทานมาเมื่อประมาณพัน
สี่ร้อยปีหลัง จากที่คัมภีร์แห่งพิธีกรรมได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ อิสลามได้ห้ามคนกินเนื้อหมู แน่นอน
มันจะต้องมีความ หมายสำคัญบางอย่างอยู่ในคำสอนของคัมภีร์ต่าง ๆ ดังกล่าวมา

3 ความ เห็นของมิชชันนารีคริสเตียนเกี่ยวกับเนื้อหมู
ข้าพเจ้าได้อ่านคำแปลคัมภีร์กุรอานของสาธุคุณอิลเลียสหวางชิงฉาย แห่งมณฑลเทียนสิน
และพบข้อความ เกี่ยวกับความคิดเห็นของนักสอนศาสนาคริสเตียนคนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการห้าม กิน
หมูในบทที่ 6 โองการ ที่ 145 ชื่อ ของนักบวชคนนั้นคือ หบินหังปิน และชื่อของหนังสือเล่มนั้นคือ
"ไต๋ ชูโยเต๋า" (มี ทางตั้งแต่เริ่มต้น) ข้าพเจ้ารู้สึก สนใจมากในความคิดเห็นนี้เพราะว่าบาดหลวง
ท่านนี้มิใช่บาด หลวงในนิกายเซเวนเดย์ แอดเวนติสต์ ขอให้ผู้อ่านได้สังเกตต่อไปว่าบาดหลวง
ท่านนี้มิได้มี การเข้าข้างหรือต่อต้านอิสลามแต่ประการใด

ท่านได้กล่าว "ผู้ที่นับถือศาสนาร่วมกับข้าพเจ้าหลายคนที่กินหมูมักจะถามข้าพเจ้าว่า :
เราจะตกนรกเพราะ กินเนื้อหมูหรือไม่ ? ข้าพเจ้าตอบว่า นี่เป็นปัญหาเรื่องสุขอนามัยโดยเฉพาะ
ใครก็ตามที่ พร้อมจะรับใช้และสรรเสริญพระเจ้าจะต้องเตรียมสุขภาพไว้ให้ดีอยู่เสมอ ไม่เพียง
แต่หมูเท่านั้น ที่ควรจะหลีกเลี่ยง แต่อะไรก็ตามที่ เป็นอันตรายต่อสุขภาพจะต้องถูกหลีกเลี่ยง
ทั้งหมดด้วยเช่น กัน
(หมาย เหตุ : คำกล่าวเช่นนี้สอดคล้องกับอิสลามทุกกรณี)
บาด หลวงท่านนั้นได้กล่าวต่อไปว่า : "ข้าพเจ้ามี ประสบการณ์บางอย่างเกี่ยวกับการกินหมู
และต้องการจะบอก ให้พวกท่านทั้งหลายได้ทราบข้าพเจ้าชอบทานเนื้อวัวและเนื้อแพะ แต่ ถึง
กระนั้นก็ตาม ข้าพเจ้าก็ไม่บริโภคมันมาก ถ้าหากข้าพเจ้า กินหมู ข้าพเจ้าจะปวดท้องทันที ข้าพ
เจ้าเป็นโรคปวด ท้องมาตั้งนานแล้ว แต่เมื่อ ข้าพเจ้าหยุดกินเนื้อหมู อาการปวดท้องก็ หายไปโดย
สิ้นเชิง ข้าพเจ้ากล้ายืนยันว่าใครก็ตามที่ปฎิบัติตามคำสอนเกี่ยวกับสุขภาพ ของพระผู้เป็นเจ้า
ที่แท้จริงแล้ว สุขภาพของพวกเขาจะดีขึ้นอย่างแน่นอน ใครก็ตามที่ไม่เชื่อก็จะได้รับความทุกข์
ทรมานจากการเจ็บ ไข้ได้ป่วยถ้าหากว่าที่ท่านกินมันก็เป็นความผิดของท่านเองหากท่านติดโรค
ในเมื่อข้าพเจ้า ไม่อยากที่จะป่วย ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่กินเนื้อหมู ตับ ไส้ และน้ำมันหมู"
"เพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่งถามว่า "ท่านไม่กินเนื้อ หมูแต่ท่านกินน้ำมันหมูหรือเปล่า ?"
เขาตอบว่า "ผมไม่กินเนื้อหมู แต่กินแฮม" นี่ เป็นการแสดงว่าเพื่อนของข้าพเจ้ากำลังสับสน
พระเจ้าห้ามคน ของพระองค์เลี้ยงและขายหมู พวกเขาจึงไม่ควร กินเนื้อหมูหรือแตะต้องมัน
คัมภีร์ไบเบิล กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าตัวหมูทั้งหมดนั้นสกปรก ดังนั้น แฮมที่มาจากหมู นั้นจึงเป็น
ที่ต้องห้ามด้วย เช่นกัน"
"ข้าพเจ้ามีนักศึกษาคนหนึ่งซึ่งใบหน้ามีสิวเต็มไปหมดข้าพเจ้าบอก นักศึกษาผู้นั้นว่าสิ่ง
เหล่านั้นเป็นผล มาจากการกินเนื้อหมู ข้าพเจ้าแนะนำ ว่า หากเขาหยุดกินเนื้อหมู สิวเหล่านั้นก็ จะ หมดไป หลังจากนั้นอีก สองปีข้าพเจ้าก็ได้พบกับนักศึกษาผู้นั้นอีกแต่คราวนี้ ข้าพเจ้า ถามว่า
เขายังกินหมู อยู่หรือเปล่า เขาก็ตอบว่าได้ หยุดกินมาสองปีแล้วซึ่งทำให้ใบหน้าของเขาหาย
จากการเป็นสิว"
บาด หลวงผู้นั้นได้เล่าต่อไปว่า
"พวกเติร์กและอาหรับเป็นมุสลิมและพวกเขาไม่กินหมูเพราะว่าอิสลาม ห้ามอย่าง
เด็ดขาด ส่วนพวกเยอรมันชอบกินหมูและกินมากเสียด้วย ระหว่างสงครามในยุโรป ทหารหลาย
คนได้รับบาดเจ็บ และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลมาทำการผ่าตัด ปรากฏว่าพวก เติร์กได้รับการ
เยียวยารักษาหาย เร็วกว่าพวกทหารเยอรมันซึ่งต้องใช้เวลารักษาเป็นแรมเดือน ทำไมถึงเป็น
เช่นนั้น ? แพทย์ ได้ให้คำตอบง่าย ๆ ดังนี้ "พวกทหารเยอรมันชอบกินหมู" นี่ มิได้ให้คำตอบ
ง่าย ๆ ดังนี้ "พวก ทหารเยอรมันชอบกินหมู" นี่มิได้เป็นข้อ พิสูจน์ถึงผลร้ายที่เกิดจากเนื้อหม
ูหรือ ? แผล ฝีหรือแผลมีหนองนั้นยากที่จะรักษาและมันจะทำให้อาการเลวลงถ้าหากคนไข้กิน
เนื้อหมู แพทย์หลายคนเคยห้ามคนไข้ที่เป็นแผลมีหนองกินหมู พระเจ้าห้ามมนุษย์กินหมู
ก่อนที่มนุษย์จะ เจ็บไข้ได้ป่วย พวกท่านจะหยุด กินเนื้อหมูเสียตอนนี้โดยการทำตามคำ
แนะนำของพระเจ้า หรือจะคอยให้ล้มป่วยลงเสียก่อน ?"
"ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าชอบกินขาหมูเลือดและน้ำมันหมูมากแต่พอมาอ่าน คัมภีร์ไบเบิลบทเล
วิติโกข้าพเจ้า ก็สะอิดสะเอียนขึ้นมา เพราะข้าพเจ้า เป็นผู้ที่ชอบกินหมูคนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้บอก
เพื่อนของ ข้าพเจ้าว่าคัมภีร์เก่าเป็นเรื่องของอดีต เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้านับถือพันธะสัญญาใหม่ ข้าพเจ้า จะกินอะไรก็ได้ตามที่ข้าพเจ้าต้องการ"
"วันหนึ่งมีเรื่องเกิดขึ้นเมื่อข้าพเจ้าได้ไปตรวจสอบคอกและอาหาร ของหมู ข้าพเจ้า
สังเกตด้วยความ สะคิดสะเรียนว่าหมูนั้นกำลังกินสิ่งปฏิกูลของมนุษย์ ชาวจีนหลายคนเป็น
วัณโรค เมื่อคนเหล่านี้ถ่ายสิ่งปฏิกูลที่มีเชื้อออกมา หมูกินเข้าไป แล้วคนไปกิน เนื้อหมู
ที่มีเชื้อ โรคอยู่ วัฎจักรของวัณโรคก็หมุนเวียนกันอยู่อย่างนั้นหลายคนตายไปเพราะติด เชื้อ
โรคจากหมู ท่านเชื่อไหม ?"
"วันหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าไปเยี่ยมโรงฆ่าสัตว์ ข้าพเจ้าสังเกตว่าหนังของแกะนั้นขาวสะอาด
แต่หนังหมูนั้น เต็มไปด้วยปุ่มคล้ายสิวของนักศึกษาคนนั้น ข้าพเจ้าเชื่อ ว่าสิวของนักศึกษา
คนนั้นเป็นผลมา จากการกินหมู ?"
"ร่างกายของเราเป็นสถานที่ของพระเจ้า ดังนั้น จึงเป็นธรรมดา ที่เราควรจะป้องกัน
มิให้สิ่งที่น่า งรังเกียจมาแปดเปื้อนสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้"
ในตะวันออก มีหลายคนเป็น โรคอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "เวน" (WEN)
โรคนี้มาจากหมู ในวรรณกรรมฮิบรูไม่มีคำนี้เพราะหลายพันปีก่อน บรรพบุรุษของพวกยิวไม่กินหมู แต่ ในปัจจุบันพวกยิวบางคนลืมศาสนาของพวกตนและเริ่มกินหมู ดังนั้น พวกยิวส่วนหนึ่ง จึงมีโอกาส ติดโรคนี้ คำว่า "เวน" (WEN) มีอยู่ในภาษาลา ตินเพราะว่าพวกโรมันชอบกินหมู คำนี้มีความหมาย ว่า "หมูตัวเล็ก" ในภาษาลาตินเพราะว่าในศูนย์กลางของการเจริญเติบโตของมะเร็ง จะ มีรอยบวมคล้ายหมู แพทย์กล่าวว่า "คนที่กินหมูมาก จะให้กำเนิดเด็กที่จะติโรดเวนนี้ภายในสามชั่วคน
ท่านเชื่อไหม ?

หมายเหตุ 1. เกี่ยวกับคำว่า "เวน" นี้ สาธุคุณหลินได้ เขียนเป็นภาษาจีนว่า "หลิว" ซึ่งพจนานุกรม แมธธิว แปลออกมาเป็นคำว่า "เวน" ซึ่งแปลว่า "เนื้องอก" และ "การบวม" เท่านั้น "หลิว" จึงอาจเป็น
เครือญาติของ มะเร็ง
2. เราเห็นด้วยกับ สาธุคุณหลินในเรื่องการอธิบายความหมายของคำว่า "เวน" โดยชาวยิว เพราะว่าพวกเขา ไม่ปลอดพ้นจากเชื้อโรคของหมู
สาธุคุณหลิวยัง ได้กล่าวต่อไปอีกว่า
"ชาวต่างชาติหลายคนไม่ชอบที่จะถูกเรียกว่าอ้วน เพราะว่าหมูนั้นอ้วน พวกเขาชอบที่จะ ถูก เรียกว่าสมบูรณ์มากกว่า ข้าพเจ้ารู้จัก เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นนักเคมีทำงานเป็นผู้ตรวจเนื้ออยู่โรงฆ่าสัตว์ ฉิงเตา เขาบอกข้าพเจ้า ว่าเขาได้ตรวจโรคกว่า 90 ชนิดในเนื้อหมู (เราขอเอ่ยแค่เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น) แล้วก็แสดงให้ ข้าพเจ้าเห็นเชื้อโรคต่าง ที่พบได้ในเนื้อหมูและบนตัวหมูโดยอาศัยกล้องจุลทรรศน์ช่วย มีเชื้อ จุลินทรีย์หลายอย่างที่อ้วนแบนเหมือน แผ่นกระดาษ เมื่อคุณกินเนื้อหมูเข้าไป เชื้อโรคเหล่า นี้ จะเติบโตในกล้ามเนื้อของคุณจนกระทั่งคุณตายมีตัวจุลินทรีย์คล้าย เส้นด้ายที่อาศัยอยู่ในท้องของมนุษย์ จนกระทั่งมนุษย์ ตายมีพยาธิหลายชนิดที่มีหัวทั้งสองด้านและที่อยู่ในเส้นเลือด มนุษย์จะตายเมื่อพยาธิเหล่านี้ทำให้เลือดเป็นพิษ เพื่อนของข้าพเจ้าบอกว่าเชื้อโรคพวกนี้มีมากกว่ายี่สิบสายพันธุ์ ที่ไม่ตายในอุณหภูมิสูง ใครก็ตามที่โชค ร้ายกินเนื้อหมูที่มีเชื้อโรคชนิดนี้อยู่ก็จะเป็นโรคที่ไม่อาจรักษาได้ ถ้าหากเชื้อโรค เหล่านี้ขึ้นไปถึงตา มันก็จะทำให้ตาบ อด ถ้าขึ้นไปถึงหูก็จะทำให้หูหนวก ไปถึงปอด ก็จะเป็นโรคปอด ถ้าไปถึงผิวหนัง ก็จะเกิดโรคผิวหนัง หมูที่ถูกฆ่าตัว ใดถูกพบว่ามีเชื้อโรคเหล่านี้อยู่ ่โรงฆ่าสัตว์จะ นำไปฝัง

ตารางของไขมันใน เนื้อสัตว์

จาก ตารางในหนังสือเรื่อง "การศึกษาโภชนาการ" ที่ถูกใช้ใน มหาวิทยาลัยและถูกตีพิมพ์โดย
สำนักพิมพ์ฉุ งเชงของไต้หวันเราได้พบว่าเนื้อหมูมีปริมาณไขมันมากกว่าเนื้ออื่น

ชื่อเนื้อ
มันเนื้อหมู
มันเนื้อวัว
มันเนื้อแพะ
เนื้อหมูติดมัน
เนื้อวัวติดมัน
เนื้อแพะติดมัน
เนื้อหมูไม่มี มัน
เนื้อวัวไม่มี มัน
เนื้อแพะไม่มี มัน
แฮม

เปอร์เซนต์ของ ไขมัน
91
35
56
60
20
35
29
6
14
51


ความหมายล้ำลึก ของถ้อยคำของอัลลอฮในกรุอาน
ถ้า หากมุสลิมเรียกตัวพวกเขาเองว่ามุสลิม มันก็เพราะว่า พวกเขาเชื่อในกุรอานและคำสอนของ
ท่านศาสดามุฮัม มัด คัมภีร์กุรอานบทที่ 16 โองการที่ 115 กล่าว ว่า
แท้ จริงพระองค์เพียงแต่ทรงห้ามสูเจ้า (มิให้บริโภค) สัตว์ที่ตายเองและเลือดและเนื้อของสุกร และที่
ถูกเปล่งนามอื่น นอกจากอัลลอฮ (เมื่อเชือด) แต่ผู้ใดก็ดีอยู่ในภาวะคับขันไม่เจตนาดื้อดึง และมิใช่ละเมิด
ฉะนั้น แท้จริง อัลลอฮเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
ข้อ ความข้างต้นนั้นเป็นสารจากอัลลอฮซึ่งมุสลิมทุกคนจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติ ตามโดยไม่มีเงื่อนไข การเชื่อฟังคำ สั่งของอัลลอฮดังกล่าวข้างต้นนั้นไม่มีอะไรแตกต่างไปจากการที่ประชาชนต้อง เชื่อฟังปฏิบัติ
ตามกฏหมายของ ประเทศหรือเหมือนกับทหารที่ต้องปฏิบัติตามระบียบวืนัยอย่างเคร่งครัด นี่คือคำตอบที่ง่ายและตรงไปตรงมาที่สุดสำหรับคนที่มักจะถามมว่า ทำไมมุสลิมถึงไม่กินหมูอย่างไรก็ตาม
เราจะเห็นว่า ข้อความกุรอานดังกล่าวข้างต้นมีตอนหนึ่งกล่าวว่า "แต่ ถ้าผู้ใดอยู่ในภาวะคับขัน" ตัวอย่างเช่น
ในภาวะอดอยากขาด แคลนจนไม่มีอะไรกินประทังชีวิต อิสลามก็อนุญาต ให้กินเนื้อหมูได้ หรือถ้าหากมี
ใครเอาปืนมารขู่ บังคับให้มุสลิมกินหมูและเขาไม่อาจต่อสู้ได้ ในกรณีเช่นนี้ เขาก็สามารถกินหมูได้ (อย่างไร
ก็ตาม ถ้าหากมุสลิมถูกบังคับให้กราบไหว้รูปปั้นบูชา เขาก็ควรจะเลือกเอาความตายดีกว่าการเคารพบูชา
รูปปั้นเทพเจ้า จอมปลอม) ดังนั้น ในตอนนี้ปัญหา จึงมิใช่อยู่ที่เรื่องของสุขภาพอนามัย แต่เป็นเรื่อง ของความ
ศรัทธาและชีวิต หรือความตาย จากตรงนี้เราจึง มีความเชื่อมั่นถึงความกว้างขวางของอิสลามที่ครอบคลุม
และตอบข้อสงสัย ในคัมภีร์ไบเบิล บทเลวิติโก 11:78 และ พระบัญญัติ 10:12-13
ไม่เป็นการบาปแต่ประการใดถ้าหากมุสลิมจะถูกบังคับหรืออยู่ในสภาวะ จำเป็นที่จะต้องกินหมู
ถ้าหากมุสลิมไม่ เคารพตัวเองโดยตั้งใจกินหมู นั้นก็แสดงว่า ไม่มีความเชื่อมั่นในหลักการ คนเช่นนี้จึง เป็น
คนที่ไม่มีความ ละอายและเป็นคนบาป อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ขอทำความเข้าใจให้ผู้อ่านได้ทราบว่ามุสลิม
ที่ถูกบังคับให้ กินหมูนั้น อย่างไรเขาก็ยัง คงเป็นมุสลิมอยู่

ในคำสอนของอิส ลาม การห้ามกินเนื้อ หมูเป็นเพียงหนึ่งในพัน
ของคำสอนของ ศาสนาที่เที่ยงตรง

การ ที่มุสลิมไม่กินเนื้อหมูนั้นมิได้จบลงตรงเรื่องของการปลูกฝังคุณสมบัติภายใน และภายนอกของมนุษย์
เท่านั้น แต่มันยังมีความหมายที่ลึกซึ้งไปยิ่งกว่านั้น อันที่จริง มันเป็นคำสอนที่ จะยกระดับคุณสมบัติแห่งความ
ซื่อตรงและความ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในมนุษย์ คัมภีร์กุรอานบท ที่ 2: 168 กล่าวว่ามนุษย์เอ๋ยจงบริโภค
สิ่งที่อนุมัติ และที่ดีจากที่มีอยู่ในแผ่นดิน และจงอย่า ปฏิบัติตามรอยเท้าของมาร แท้จริง มันเป็นศัตรูที่เปิดเผย
สำหรับสูเจ้า
ข้อ ความตอนแรกของกุรอานข้างต้นที่กล่าวว่า "จงบริโภคสิ่งที่อนุมัติและที่ดีจากที่มีอยู่ในแผ่นดิน
และจงอย่า ปฏิบัติตามรอยเท้าของมาร"ดู อาจจะไม่เกี่ยวเนื่องกันและกันเลย แต่ถ้าเรา ไตร่ตรองความหมายของข้อความทั้งสองแล้ว เราจะพบ
ความหมายที่ลึก ซึ้งในข้อความทั้งสองและมันจะเกี่ยวข้องกัน
คำ ว่า "ที่อนุมัติ" ในภาษาอาหรับคือ คำว่า "หะลาล" ซึ่งในข้อความกุ รอานข้างต้นนั้นมีความ
เกี่ยวพันไม่แต่ เฉพาะกับสิ่งที่เรากินเท่านั้น แต่ยังเกี่ยว ข้องกับวิธีการหาเงินมาซื้ออาหารและสิ่งอื่น
ด้วย มุสลิมไม่เพียงแต่จะต้องหลีกเลี่ยงจากอาหารต้องห้าม เช่นหมูเท่านั้น แต่มุสลิมจะต้อง ห่างไกล
จากการหาเลี้ยง ชีพที่ไม่ถูกต้องและไม่ทำให้อาหารที่เป็นที่อนุมัติเป็นที่ต้องห้ามหรือเป็น อันตรายต่อ
จิตใจของตัวเอง ด้วย

การโกง การหลอกลวง การเอาเปรียบ เพี่อให้ได้มาซึ่งเงินถือเป็นที่ "หะรอม" (ไม่เป็นที่อนุมัติ)
ในอิสลาม

ท่าน ศาสดามุฮัมมมัดได้กล่าวกับคู่สนทนาขี้สงสัยของท่านว่า "เมื่อ ท่านสงสัยสิ่งใดจะเป็นที่อนุมัติหรือไม่อนุมัติละก็ ให้ถามคำตัดสินจากเสียงภายในของเจ้า (หัวใจ)"

นั่นหมายความว่า จิตสำนึกของท่านจะบอกท่านได้ดีว่าอะไรดีที่เป็นที่อนุมัติและไม่อนุมัติ นี่เป็นหนึ่ง ในคำสอนอัน ประเสริฐของอิสลาม


ที่มา http://nichakan-pik.blogspot.com/2009/05/blog-post.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น